ละลุ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนจนทำให้เกิดการยุบตัวหรือพังทลายของดิน มีลักษณะเป็นแท่งหรือเสาดินที่มีความสูงตั้งแต่ไม่กี่เมตรไปจนถึงหลายสิบเมตร ละลุมักพบในบริเวณที่มีดินอ่อน เช่น ดินเหนียว ดินร่วนปนทราย ดินตะกอน ละลุสามารถพบได้ทั่วโลก แต่ในประเทศไทยพบได้มากที่สุดในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คำว่า “ละลุ” เป็นภาษาเขมร แปลว่า “ทะลุ” หมายถึง ลักษณะของดินที่มีลักษณะเป็นแท่งหรือเสาดินที่มีความสูงตั้งแต่ไม่กี่เมตรไปจนถึงหลายสิบเมตร
สาเหตุของการเกิดละลุ
ละลุเกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนจนทำให้เกิดการยุบตัวหรือพังทลายของดิน ปัจจัยที่ทำให้เกิดละลุ ได้แก่
- ลักษณะของดิน ดินอ่อน เช่น ดินเหนียว ดินร่วนปนทราย ดินตะกอน จะถูกกัดเซาะได้ง่ายกว่าดินแข็ง เพราะมีโครงสร้างที่อ่อนแอและแตกหักได้ง่าย เมื่อน้ำฝนตกลงกระทบดินจะทำให้เกิดการชะล้างและพาเอาดินอ่อนออกไป เหลือไว้เพียงดินแข็งที่อยู่ด้านล่าง เกิดเป็นช่องว่างหรือโพรงใต้ดิน เมื่อช่องว่างหรือโพรงใต้ดินมีขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักของดินด้านบนก็จะไม่สามารถพยุงไว้ได้ ทำให้เกิดการยุบตัวหรือพังทลายของดินเกิดเป็นละลุ
- ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ที่มีลาดชันหรือมีร่องน้ำจะเกิดการกัดเซาะได้ง่ายกว่าพื้นที่ที่ราบเรียบ เพราะเป็นบริเวณที่น้ำฝนจะไหลผ่านและพัดพาดินไปได้ง่าย
- ปริมาณน้ำฝน พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนมากจะเกิดการกัดเซาะได้ง่ายกว่าพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อย เพราะน้ำฝนจะตกลงกระทบดินในปริมาณมาก ทำให้เกิดการชะล้างและพาเอาดินไปได้ง่าย
การอนุรักษ์ละลุ
ละลุเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เปราะบาง จึงควรอนุรักษ์ไว้ไม่ให้เกิดการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป แนวทางการอนุรักษ์ละลุ ได้แก่
- การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับละลุ เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดละลุ เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ละลุอย่างมีประสิทธิภาพ
- การจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีละลุ เพื่อควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณดังกล่าว เช่น การห้ามปลูกพืชเชิงเดี่ยว การห้ามถางป่า การห้ามสร้างสิ่งก่อสร้าง เป็นต้น
- การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับละลุ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ไม่ให้เข้าไปทำลายหรือเปลี่ยนแปลงละลุโดยไม่รู้ตัว
ข้อควรระวังในการชมละลุ
ในการชมละลุ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด ดังนี้
- ไม่ควรเข้าไปเดินเล่นหรือปีนป่ายบริเวณละลุโดยไม่ระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ละลุเกิดการยุบตัวหรือพังทลายได้
- ควรปฏิบัติตามเส้นทางที่กำหนดไว้ในการชมละลุ
- ไม่ควรทิ้งขยะหรือสิ่งของต่างๆ บริเวณละลุ
- ควรช่วยกันรักษาความสะอาดและดูแลรักษาละลุให้คงอยู่คู่กับธรรมชาติต่อไป
กลไกการเกิดละลุ
ละลุเกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนจนทำให้เกิดการยุบตัวหรือพังทลายของดิน ปัจจัยที่ทำให้เกิดละลุ ได้แก่ ลักษณะของดิน ลักษณะภูมิประเทศ และปริมาณน้ำฝน
ลักษณะของดิน ดินอ่อน เช่น ดินเหนียว ดินร่วนปนทราย ดินตะกอน จะถูกกัดเซาะได้ง่ายกว่าดินแข็ง เพราะมีโครงสร้างที่อ่อนแอและแตกหักได้ง่าย เมื่อน้ำฝนตกลงกระทบดินจะทำให้เกิดการชะล้างและพาเอาดินอ่อนออกไป เหลือไว้เพียงดินแข็งที่อยู่ด้านล่าง เกิดเป็นช่องว่างหรือโพรงใต้ดิน เมื่อช่องว่างหรือโพรงใต้ดินมีขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักของดินด้านบนก็จะไม่สามารถพยุงไว้ได้ ทำให้เกิดการยุบตัวหรือพังทลายของดินเกิดเป็นละลุ
ตัวอย่าง ดินเหนียวเป็นดินที่มีลักษณะอ่อนและเหนียว เมื่อมีน้ำฝนตกลงมา น้ำฝนจะซึมลงไปใต้ดินและทำให้ดินเหนียวเกิดการขยายตัว เมื่อดินเหนียวขยายตัวจะทำให้ช่องว่างระหว่างเม็ดดินมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้น้ำฝนไม่สามารถไหลผ่านได้ง่าย เมื่อน้ำฝนไม่สามารถไหลผ่านได้ง่ายก็จะทำให้เกิดการกัดเซาะของดินเหนียวได้ง่ายขึ้น
ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ที่มีลาดชันหรือมีร่องน้ำจะเกิดการกัดเซาะได้ง่ายกว่าพื้นที่ที่ราบเรียบ เพราะเป็นบริเวณที่น้ำฝนจะไหลผ่านและพัดพาดินไปได้ง่าย
ตัวอย่าง พื้นที่ที่มีลาดชัน น้ำฝนจะไหลผ่านอย่างรวดเร็วและพัดพาดินไปได้ง่ายกว่าพื้นที่ที่ราบเรียบ ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะของดินได้ง่ายขึ้น